เมนู

อย่างยิ่ง ในภพนาค ภพครุฑ ภพยักษ์ ภพอสูร ภพคนธรรพ์ ภพ-
มหาราช ภพอินทร์ ภพพรหม แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกอบด้วยพละ 10 ย่อมปรากฏ ประจักษ์ รู้ได้ด้วย
เวสารัชชญาณ 4 ปฏิสัมภิทา 4 อภิญญา 6 พุทธธรรม 6 เดชธรรม
พลธรรมคุณธรรม วิริยะ ปัญญา สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
สัตบุรุษทั้งหลายย่อมปรากฏในที่ไกล เหมือนภูเขา
หิมวันต์ฉะนั้น อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏในที่นั้น
เหมือนลูกศรที่ยิ่งไปในกลางคืนฉะนั้น.

แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ
ย่อมปรากฏเด่นชัด.

ว่าด้วยจักษุ 5 ประการ


คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ ความว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้ามีพระจักษุด้วยจักษุ 5 ประการ คือมีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุ มี
พระจักษุแม้ด้วยทิพยจักษุ มีพระจักษุแม้ด้วยปัญญาจักษุ มีพระจักษุแม้
ด้วยพุทธจักษุ มีพระจักษุแม้ด้วยสมันตจักษุ.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุอย่างไร. สี 5 อย่าง
คือสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีดำ และสีขาว ย่อมปรากฏมีอยู่ในมังสจักษุ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ขนพระเนตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งอยู่ในที่ใด
ที่นั้นมีสีเขียว เขียวสนิท น่าชม น่าดู. เหมือนดอกผักตบ ต่อจากที่นั้น
มีสีเหลือง เหลืองนวล สีเหมือนทองคำ น่าชมน่าดู เหมือนดอกกรรณิการ์
ขอบเบ้าพระเนตรทั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีสีแดง แดงงาม น่าชม

น่าดู. เหมือนสีปีกแมลงทับ ที่ท่ามกลางพระเนตรมีสีดำ ดำงาม ไม่หมองมัว
ใสสนิท น่าชม น่าดู เหมือนสีสมอดำ (อิฐแก่ไฟ) ต่อจากที่นั้นมีสีขาว
ชาวงาม เปล่งปลั่ง ขาวนวล น่าชม น่าดู เหมือนสีดาวประกายพฤกษ์
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระมังสจักษุนั้นเป็นปกติ เนื่องในพระวรกาย เกิด
เฉพาะด้วยสุจริตกรรมในภพก่อน ทรงเห็นตลอดโยชน์หนึ่งโดยรอบทั้ง
กลางวันทั้งกลางคืน แม้เมื่อใด มีมืดประกอบด้วยองค์ 4 คือพระอาทิตย์
อัสดงคต 1 วันอุโบสถมีในกาฬปักษ์ 1 แนวป่าทึบ 1 ก้อนอกาลเมฆใหญ่
ตั้งขึ้น 1 เมื่อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเห็นตลอดโยชน์หนึ่งโดยรอบ
ในที่มืดอันประกอบด้วยองค์ 4 แม้เห็นปานนี้ ที่หลุมก็ดี บานประตูก็ดี
กำแพงก็ดี ภูเขาก็ดี กอไม้ก็ดี เถาวัลย์ก็ดี เป็นเครื่องบังการเห็นรูป
ทั้งหลาย ย่อมไม่มี หากว่าบุคคลพึงเอางาเมล็ดหนึ่งทำเป็นเครื่องหมาย
ใส่ลงในเกวียนบรรทุกงา พระผู้มีพระภาคเจ้าก็พึงทรงหยิบเอาเมล็ดงา
นั้นแหละขึ้นได้ พระมังสจักษุเป็นปกติของพระผู้มีพระภาคเจ้าบริสุทธิ์
อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยมังสจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยทิพยจักษุอย่างไร. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าย่อมทรงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต
มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์
ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทรงทราบหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์
เหล่านั้นหนอ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน
พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เมื่อตาย
ไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก. ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบ
ด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมา-

ทิฏฐิ ยึดถือการทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อคายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลัง
อุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ และทรงทราบหมู่สัตว์ผู้เป็นไป
ตามกรรมด้วยประการดังนี้.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงพระประสงค์ พึงเห็นแม้โลกธาตุหนึ่ง
แม้โลกธาตุ 2 แม้โลกธาตุ 3 แม้โลกธาตุ 4 แม้โลกธาตุ 5 แม้โลก-
ธาตุ 20 แม้โลกธาตุ 30 แม้โลกธาตุ 40 แม้โลกธาตุ 50 แม้โลก-
ธาตุพันหนึ่งเป็นส่วนเล็ก แม้โลกธาตุสองพันเป็นส่วนกลาง แม้โลกธาตุ
สามพัน แม้โลกธาตุหลายพัน พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระประสงค์
เท่าใด ก็พึงทรงเห็นเท่านั้น ทิพยจักษุของพระผู้มีพระภาคเจ้าบริสุทธิ์
อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยทิพยจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยปัญญาจักษุอย่างไร. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีปัญญามาก มีปัญญากว้างขวาง มีปัญญารื่นเริง มี
ปัญญาแล่นไป มีปัญญาคมกล้า มีปัญญาชำแรกกิเลส ทรงฉลาดในประเภท
ปัญญา มีญาณแตกฉาน ทรงบรรลุปฏิสัมภิทา ทรงบรรลุเวสารัชชญาณ 4
ทรงทศพลญาณ ทรงเป็นบุรุษองอาจ ทรงเป็นบุรุษสีหะ ทรงเป็นบุรุษ
นาค ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย ทรงเป็นบุรุษนำธุระไปเป็นปกติ มีพระญาณ
หาที่สุดมิได้ มีพระเดชหาที่สุดมิได้ มีพระยศหาที่สุดมิได้ ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง
ทรงมีทรัพย์มาก ทรงมีปัญญาเป็นทรัพย์ ทรงเป็นผู้นำ ทรงนำไปโดย
วิเศษ นำเนือง ๆ ให้รู้จักประโยชน์ ให้เพ่งพิจารณาให้เห็นประโยชน์
ให้แล่นไปด้วยปสาทะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ให้มรรคที่ยังไม่เกิดขึ้น
ให้เกิดขึ้น ทรงให้มรรคที่ยังไม่เกิดขึ้นพร้อม ให้เกิดขึ้นพร้อม ผู้ตรัส
บอกมรรคที่ยังไม่มีใครบอก ทรงรู้ซึ่งมรรค ทรงทราบซึ่งมรรค ทรงฉลาด
ในมรรค ก็แหละในบัดนี้ สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้น เป็นผู้ดำเนินตามมรรคอยู่ เป็นผู้ประกอบด้วยศีลาทิคุณในภายหลัง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงรู้ธรรมที่ควรรู้ ทรงเห็นธรรม
ที่ควรเห็น มีพระจักษุ มีพระญาณ มีธรรม มีพรหมธรรม ผู้ตรัสบอก
ผู้ตรัสบอกโดยประการ เป็นผู้นำออกซึ่งอรรถ ทรงประทานอมตธรรม
ทรงเป็นธรรมสามี เป็นพระตถาคต สิ่งที่ไม่ทรงรู้ ไม่ทรงเห็น ไม่ทรง
ทราบ ไม่ทรงทำให้แจ่มแจ้ง ไม่ทรงถูกต้องด้วยปัญญา ย่อมไม่มีแก่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ธรรมทั้งปวง รวมทั้งอดีตอนาคตและปัจจุบัน
ย่อมมาสู่คลองในมุข คือพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วโดย
อาการทั้งปวง ชื่อว่าประโยชน์ที่ควรแนะนำทุก ๆ อย่างอันชนควรรู้ มีอยู่
คือประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่น ประโยชน์ทั้งสองอย่าง ประโยชน์มีใน
ชาตินี้ ประโยชน์มีในชาติหน้า ประโยชน์ตื้น ประโยชน์ลึก ประโยชน์
ลี้ลับ ประโยชน์ที่ปกปิด ประโยชน์ที่ควรแน่ะนำ ประโยชน์ที่บัณฑิต
แนะนำไปแล้ว ประโยชน์ที่ไม่มีโทษ ประโยชน์ไม่มีกิเลส ประโยชน์อัน
ผ่องแผ้ว ประโยชน์อย่างยิ่ง ประโยชน์ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปรอบใน
ภายในพระพุทธญาณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว มีพระญาณไม่ขัดข้องในอดีต มี
พระญาณไม่ขัดข้องในอนาคต มีพระญาณไม่ขัดข้องในปัจจุบัน กายกรรม
วจีกรรม มโนกรรมทั้งหมด ย่อมเป็นไปตามพระญาณของพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว บทธรรมที่ควรแนะนำเท่าใด พระญาณก็เท่านั้น
พระญาณเท่าใด บทธรรมที่ควรแนะนำก็เท่านั้น พระญาณมีส่วนสุดรอบ
แห่งบทธรรมที่ควรแนะนำ บทธรรมที่ควรแนะนำก็มีส่วนสุดรอบแห่ง
พระญาณ พระญาณไม่เป็นไปรอบเกินบทธรรมที่ควรแนะนำ ทางแห่ง
บทธรรมที่ควรแนะนำก็ไม่เกินพระญาณไป ธรรมเหล่านั้นมีความตั้งอยู่
ในส่วนสุดรอบของกันและกัน เมื่อชั้นผอบสองชั้นปิดกันสนิทพอดี ชั้น
ผอบข้างล่างก็ไม่เกินผอบข้างบน ชั้นผอบข้างบนก็ไม่เกินชั้นผอบข้างล่าง
ชั้นผอบทั้งสองนั้นมีความตั้งอยู่ในส่วนสุดรอบของกันและกัน ฉันใด บท
ธรรมที่ควรแนะนำก็ดี พระญาณก็ดี ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรรู้แล้ว
ผู้มีความตั้งอยู่ในส่วนสุดรอบของกันและกัน บทธรรมที่ควรแนะนำเท่าใด
พระญาณก็เท่านั้น พระญาณเท่าใด บทธรรมที่ควรแนะนำก็เท่านั้น พระ-
ญาณมีส่วนสุดรอบแห่งบทธรรมที่ควรแนะนำ บทธรรมที่ควรแนะนำก็มี
ส่วนสุดรอบแห่งพระญาณ พระญาณไม่เป็นไปเกินบทธรรมที่ควรแนะนำ
ทางแห่งบทธรรมที่ควรแนะนำก็ไม่เกินพระญาณ ธรรมเหล่านั้น มีความ
ตั้งอยู่ในส่วนสุดรอบของกันและกัน ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมเป็นไปรอบใน
ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งปวงเนื่องด้วยความนึก เนื่องด้วยความหวัง เนื่อง
ด้วยมนสิการ เนื่องด้วยจิตตุปบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว
พระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมเป็นไปรอบในสัตว์
ทั้งปวง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบอัธยาศัย อนุสัย จริต อธิมุตติ
แห่งสัตว์ทั้งปวง ย่อมทรงทราบเหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสธุลีน้อย ในปัญญาจักษุ
มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี

มีอาการทราม ผู้ควรแนะนำได้โดยง่าย ผู้แนะนำได้โดยยาก เป็นภัพพ-
สัตว์ เป็นอภัพพสัตว์.
โลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้ง
สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ย่อมเป็นไปรอบในภายในพระพุทธ-
ญาณ ปลาและเต่าทุกชนิด โดยที่สุดรวมทั้งปลาติมิ ปลาติมิงคละ และ
ปลาติมิติมิงคละ ย่อมเป็นไปรอบในภายในมหาสมุทร ฉันใด โลกพร้อม
ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา
และมนุษย์ ย่อมเป็นไปรอบในภายในพระพุทธญาณ ฉันนั้นเหมือนกัน.
นกทุกชนิด โดยที่สุดรวมทั้งครุฑเวนไตยโคตร ย่อมเป็นไปรอบใน
ประเทศอากาศ ฉันใด พระพุทธสาวกทั้งหลายผู้เสมอด้วยพระสารีบุตร
โดยปัญญา ย่อมเป็นไปรอบในประเทศแห่งพระพุทธญาณ ฉันนั้นเหมือน
กัน.
พระพุทธญาณย่อมแผ่ปกคลุมปัญญาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ตั้งอยู่ พวกบัณฑิตผู้เป็นกษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดี สมณะ มีปัญญา
ละเอียด รู้วาทะของผู้อื่น เหมือนนายขมังธนูยิงขนหางทรายแม่น เที่ยว
ไปดุจทำลายทิฏฐิของผู้อื่นด้วยปัญญาของตน บัณฑิตเหล่านั้น ปรุงแต่ง
ปัญหาแล้ว เข้ามาเฝ้าพระตถาคต ทูลถามปัญหาเหล่านั้นอันพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสย้อนถาม และตรัสแก้แล้ว เป็นปัญหามีเหตุที่ทรงแสดงออก
และทรงสลัดออก บัณฑิตเหล่านั้นเลื่อมใสต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงไพโรจน์ยิ่งด้วยพระปัญญา ในที่นั้นโดยแท้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยปัญญาจักษุอย่างนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยพุทธจักษุอย่างไร พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์
ทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มี
อินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม ผู้ควรแนะนำ
ได้โดยง่าย ผู้แนะนำได้โดยยาก บางพวกเป็นผู้เห็นโทษและภัยในปรโลก
อยู่ ในกอบัวเขียว ในกอบัวแดง หรือในกอบัวขาว ดอกอุบล ดอกบัว
แดง หรือดอกบัวขาว บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ขึ้นตามน้ำ จม
อยู่ในนำ อันน้ำล่อเลี้ยงไว้ บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ตั้งอยู่เสมอ
น้ำ บางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ โผล่ขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติดแม้ฉันใด
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตรวจดูสัตว์โลกด้วยพระพุทธจักษุ ได้ทรง
เห็นสัตว์ผู้มีกิเลสธุลีน้อยในปัญญาจักษุ มีกิเลสธุลีมากในปัญญาจักษุ มี
อินทรีย์กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม ผู้แนะนำได้โดย
ง่าย ผู้แนะนำได้โดยยาก บางพวกเป็นผู้เห็นโทษและภัยในปรโลกอยู่
ฉันนั้นเหมือนกัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า บุคคลนี้เป็นราคจริต บุคคล
นี้เป็นโทสจริต บุคคลนี้เป็นโมหจริต บุคคลนี้เป็นวิตักกจริต บุคคลนี้
เป็นศรัทธาจริต บุคคลนี้เป็นญาณจริต.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมตรัสบอกอสุภกถาแก่บุคคลผู้เป็นราคจริต
ย่อมตรัสบอกเมตตาภาวนาแก่บุคคลผู้เป็นโทสจริต ทรงเเนะนำบุคคล
ผู้เป็นโมหจริตให้ตั้งอยู่ในการเรียน ในการไต่ถาม ในการฟังธรรมตาม
กาลอันควร ในการสนทนาธรรมตามกาลอันควร ในการอยู่ร่วมกับครู
ย่อมตรัสบอกอานาปานสติแก่บุคคลผู้เป็นวิตักกจริต ย่อมตรัสบอกพระ-

สูตรอันเป็นนิมิตดี ความตรัสรู้ดีแห่งพระพุทธเจ้า ความเป็นธรรมดีแห่ง
พระธรรม ความปฏิบัติดีแห่งพระสงฆ์ และศีลทั้งหลายของตน อันเป็น
ที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แก่บุคคลผู้เป็นศรัทธาจริต ย่อมตรัสบอกธรรม
อันเป็นนิมิตแห่งวิปัสสนาซึ่งมีอาการไม่เที่ยง มีอาการเป็นทุกข์ มีอาการ
เป็นอนัตตาแก่บุคคลผู้เป็นญาณจริต.
สมจริงดังประพันธ์คาถาว่า
บุรุษยืนอยู่บนยอดภูเขาศิลา พึงเห็นหมู่ชนโดยรอบ
ฉันใด ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระปัญญาดี มีพระ-
จักษุโดยรอบ พระองค์มีความโศกไปปราศจากแล้ว ทรง
ขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จด้วยธรรม ขอจงทรงตรวจดูหมู่ชน
ผู้อาเกียรณด้วยความโศก ถูกชาติและชราครอบงำฉันนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยพุทธจักษุอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยสมันตจักษุอย่างไร. พระ-
สัพพัญญุตญาณ เรียกว่าสมันตจักษุ พระผู้มีพระภาคเจ้าไปใกล้ ไปใกล้ดี
แล้วเข้าถึง เข้าถึงดีแล้ว เข้าไปถึงดีแล้ว ประกอบแล้วด้วยพระสัพพัญ-
ญุตญาณ.
สมจริงดังประพันธ์คาถาว่า
สิ่งอะไร ๆ ในไตรโลกธาตุนี้ อันปัญญาจักษุของพระ-
ตถาคตนั้นไม่เห็นแล้ว ย่อมไม่มี อนึ่ง ธรรมชาติอะไร ๆ
อันพระพุทธญาณไม่รู้แจ้งแล้วและที่ไม่พึงรู้ ย่อมไม่มี
ธรรมชาติที่ควรแนะนำใดมีอยู่ พระตถาคตทรงทราบแล้ว

ซึ่งธรรมชาติที่ควรแนะนำนั้นทั้งหมด เพราะเหตุนั้น พระ-
ตถาคตจึงชื่อว่า ผู้มีสมันตจักษุ.

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระจักษุแม้ด้วยสมันตจักษุอย่างนี้ เพราะ-
ฉะนั้น จึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุย่อมปรากฏเด่นชัด.
[891] คำว่า ทรงกำจัดมืดทั้งปวง ความว่า ทรงบรรเทา กำจัด
ทำให้สิ้นไป ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความมืดเพราะราคะ ความมืดเพราะ
โทสะ ความมืดเพราะโมหะ ความมืดเพราะมานะ ความมืดเพราะทิฏฐิ
ความมืดเพราะกิเลส ความมืดเพราะทุจริตทั้งปวงอันทำให้เป็นคนบอด
ทำไม่ให้มีจักษุ ทำไม่ให้มีญาณ อันดับปัญญา เป็นไปในฝ่ายแห่งความ
ลำบาก ไม่ให้เป็นไปเพื่อนิพพาน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทรงกำจัดมืด
ทั้งปวง.

พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลผู้เอก


[892] คำว่า เป็นบุคคลเอก ทรงบรรลุแล้วซึ่งความยินดี ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะส่วนแห่งบรรพชา ทรงเป็น
บุคคลผู้เอก เพราะเป็นผู้ไม่มีเพื่อน ทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะความละ
ตัณหา ทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะอรรถว่า เป็นผู้ปราศจากราคะโดย
ส่วนเดียว ทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะอรรถว่า เป็นผู้ปราศจากโทสะ
โดยส่วนเดียว ทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะอรรถว่า เป็นผู้ปราศจากโมหะ
โดยส่วนเดียว ทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะอรรถว่า เป็นผู้ไม่มีกิเลสใด
ส่วนเดียว ทรงเป็นบุคคลผู้เอก เพราะอรรถว่า เป็นผู้เสด็จไปตามเอกายน-